09 สิงหาคม 2565 : บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยงบการเงินประจำปี 2563 เดินหน้ากลับสู่การซื้อขายหลักทรัพย์

นายทัตซึยะ โคโนชิตะ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทกรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) เผยว่า “เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2565 เราได้เปิดเผยงบการเงินประจำปี 2563 ซึ่งล่าช้าไปเป็นระยะเวลา 1.5 ปี สาเหตุที่เราเปิดเผยงบการเงินนี้ล่าช้าเนื่องจากเราพยายามที่จะแก้ไขปัญหาบางประการ แต่ขณะนี้เรามาถึงจุดที่เรามีความจำเป็นที่จะแจ้งต่อสาธารณชนเกี่ยวกับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ  

            โดยในปี 2563 นั้น เป็นปีที่ยากลำบาก เนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า หรือ โควิด-19 และ คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์สิงคโปร์ได้ตัดสินให้บริษัทย่อยของเราที่อยู่ในประเทศสิงคโปร์ชดใช้ค่าเสียหายเป็นจำนวนเงินประมาณ 71 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเราได้ชำระครบถ้วนแล้วในช่วงปี 2564 คำพิพากษานี้ทำให้ค่าใช้จ่ายของบริษัทฯ ในปี 2563 เพิ่มขึ้นประมาณ 21 ล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากในคำพิพากษาส่วนที่เหลือเป็นเพียงคำสั่งให้ชำระหนี้ในหุ้นกู้แปลงสภาพจำนวนเงินประมาณ 50 ล้านเหรียญสหรัฐ ที่เรามีอยู่กับบริษัท เจทรัสต์ เอเชีย พีทีอี แอลทีดี (JTA)

            เราจะพยายามเพื่อให้บริษัทฯ กลับเข้าสู่สถานะการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอีกครั้ง โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยการเปิดเผยงบการเงินประจำปี 2564 และปี 2565 เราสามารถกล่าวได้ว่า เราสามารถจัดทำบัญชีภายในของเราได้โดยเสร็จสมบูรณ์ทันเวลาเสมอ และเราพร้อมสำหรับการตรวจสอบประจำปี 2564 และปี 2565 แล้ว เราให้สัญญาว่าเราจะเร่งรัดการนำส่งสิ่งใดก็ตามที่จะทำให้ผู้สอบบัญชีของเราพึงพอใจ เพื่อที่จะกลับสู่การซื้อขายหลักทรัพย์ เราต้องเปิดเผยงบการเงินให้ทันกำหนดเวลาเป็นระยะเวลา 2 ไตรมาสติดต่อกัน เราจะทำงานอย่างหนักเพื่อการเปิดเผยงบการเงินประจำปี 2564 และปี 2565”

            นายริกิ อิชิกามิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทกรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เราได้รับรายงานการไม่ให้ข้อสรุปต่องบการเงินจากผู้สอบบัญชีของเรา เช่นเดียวกับงบการเงินไตรมาสที่ 3 ประจำปี 2563 เหตุผลที่สำคัญที่สุดจากบริษัทฯ ในเรื่องการไม่แสดงความเห็นต่องบการเงินนั้นคือ ในมุมมองของบริษัทเคพีเอ็มจี ภูมิไชย สอบบัญชี จำกัด นั้น มองว่าพวกเขาไม่ได้รับคำอธิบายหรือหลักฐานที่น่าพอใจต่อบางประเด็น บริษัทฯ พยายามอย่างที่สุดที่จะให้ข้อมูลแก่เคพีเอ็มจีมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และเรายังได้ให้เอกสารและสิ่งที่เกี่ยวข้องทั้งหมดที่เรามีให้แก่เคพีเอ็มจี เรายอมรับว่ามีบางข้อมูลที่ทั้งเคพีเอ็มจีและบริษัทฯ ต้องการจะได้รับ แต่เนื่องจากสถานการณ์ที่อยู่เหนือการควบคุม ทั้งบริษัทฯ และเคพีเอ็มจีจึงไม่สามารถได้รับข้อมูลทั้งหมดที่ร้องขอ เฉกเช่นเดียวกับงบการเงินไตรมาสที่ 3 ประจำปี 2563 แทนที่จะรอจนกว่าเราจะสามารถได้รับข้อมูลทั้งหมดและการแสดงความเห็นที่ไม่มีเงื่อนไขต่องบการเงินจากเคพีเอ็มจี เรารู้สึกว่าสิ่งสำคัญกว่าคือการที่สาธารณชนจะได้ทราบความคืบหน้าในผลการดำเนินงานของบริษัท และเพื่อให้บริษัทฯ สามารถกลับสู่การซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้อีกครั้ง ดังนั้นเราได้ตัดสินใจแล้วว่าจะทำการเปิดเผยงบการเงินประจำปี 2563 แม้รู้ว่าเรายังคงมีประเด็นปัญหาที่จะต้องแก้ไข

            เคพีเอ็มจียังคงอ้างถึงความไม่แน่นอนเกี่ยวกับคดีความต่างๆ ของบริษัท อย่างที่กล่าวไปหลายครั้งแล้วว่า คดีความยังคงไม่แน่นอนจนกว่าศาลจะพิพากษาตัดสินคดีความระหว่างบริษัทฯ และJTA เราจะสู้คดีกับทาง JTA ต่อไปให้ถึงที่สุดเท่าที่เราทำได้ และเรายังคงมั่นใจว่าในวันที่คดีแพ่งของศาลประเทศไทยไปถึงขั้นการพิจารณาคดี บริษัทฯ จะเป็นฝ่ายชนะคดี เราขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่งต่อผู้ถือหุ้นที่อยู่ในช่วงเวลาเหล่านี้ เราจะแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมจากเหตุการณ์นี้

            บริษัทฯ ได้ข้ามผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากในปี 2563 และปี 2564 ภายใต้การระบายของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า หรือโควิด-19 และอย่างที่ทุกท่านทราบเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในประเทศเมียนมาและประเทศศรีลังกา รวมถึงเรื่องค่าเงินที่อ่อนค่าลงในประเทศลาว ประเทศเมียนมา และประเทศศรีลังกา ซึ่งส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อการดำเนินธุรกิจของเราในแต่ละประเทศจนถึงในปี 2565 ดังนั้นผลประกอบการของปี 2564 ที่เรากำลังจะเปิดเผยในอนาคตอันใกล้นี้อาจจะไม่ดีที่สุด อย่างไรก็ตาม ในปี 2565 นี้ เราได้ปิดกิจการในประเทศอินโดนีเซียซึ่งส่งผลเสียต่อเราแล้ว เนื่องจากบริษัทกรุ๊ปลีส ไฟแนนซ์ อินโดนีเซีย (GLF Indonesia) เป็นบริษัทที่ร่วมทุนกับบริษัท เจทรัสต์ กรุ๊ป (J Trust Group) ซึ่งเป็นฝ่ายคู่กรณีพิพาทของเรา เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคตอีกต่อไป อีกทั้งบริษัทในประเทศกัมพูชาและประเทศไทยก็เริ่มที่จะขยายกิจการอีกครั้ง ซึ่งทั้งสองประเทศนี้จะเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตของบริษัทฯ ในปี 2565”