บมจ.กรุ๊ปลีส หนึ่งในผู้นำตลาดเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ เมินเศรษฐกิจไทยชะลอตัว รุกขยายธุรกิจอย่างเต็มที่ในกลุ่มประเทศ CLMV รายงานกำไรสุทธิในไตรมาส 2/58 ทุบสถิติทำนิวไฮพุ่งขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 1,765.56% จาก 6.94 ล้านบาท เป็น 129.47 ล้านบาท รับอานิสงส์จากธุรกิจในกัมพูชาขยายตัวอย่างก้าวกระโดดและยังมีศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ธุรกิจใหม่ใน สปป.ลาว คาดว่าจะถึงจุดคุ้มทุนในเดือนกันยายนนี้และเริ่มสร้างผลกำไรในไตรมาส 4
นายมิทซึจิ โคโนชิตะ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) หรือ GL หนึ่งในผู้นำผู้ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ กล่าวว่า การดำเนินยุทธศาสตร์ขยายธุรกิจของบริษัทฯ เข้าสู่กลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมาร์และเวียดนาม) นับว่าเริ่มเห็นผลสำเร็จอย่างชัดเจนแล้ว โดยคาดว่านับจากนี้บริษัทฯ จะรุกคืบการขยายฐานธุรกิจในภูมิภาคนี้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะส่งผลให้ผลประกอบการโดยรวมปรับตัวดีขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้รายงานผลประกอบการในไตรมาส 2/2558 มีกำไรสุทธิในงบฯ การเงินรวม 129.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 1,765.56% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิเพียง 6.94 ล้านบาทและยังเพิ่มขึ้น 17.4% จากไตรมาส 1/2558 ที่มีกำไรสุทธิ 110.24 ล้านบาท ขณะที่รายได้ดอกผลเช่าซื้อในงบฯ การเงินรวมไตรมาส 2/2558 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 29.11% จาก 365.17 ล้านบาท เป็น 471.48 ล้านบาท ซึ่งตัวเลขรายได้ดอกผลเช่าซื้อดังกล่าว เป็นการลดลงจากบริษัทแม่จำนวน 5.32 ล้านบาท แต่เพิ่มขึ้นจากบริษัทย่อยในประเทศ 49.32 ล้านบาทและจากบริษัทย่อยในต่างประเทศ (ส่วนใหญ่มาจากกัมพูชา) 62.31 ล้านบาท แสดงถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่องของบริษัทย่อยในต่างประเทศ ส่วนรายได้อื่นๆ ในงบฯ การเงินรวมเพิ่มขึ้นถึง 424.90% จาก 25.46 ล้านบาท เป็น 133.64 ล้านบาท โดยรายได้อื่นๆ ที่เพิ่มขึ้นจากบริษัทแม่จำนวน 52.14 ล้านบาท ซึ่งมาจากการบริหารจัดการหนี้ที่ได้ตัดจำหน่ายหนี้สูญไปแล้วและส่วนที่เหลือมาจากค่าบริการในการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินและดอกเบี้ยรับของบริษัทย่อยในต่างประเทศ
นายมิทซึจิ กล่าวว่า โดยปกติในไตรมาส 2 จะเป็นโลว์ซีซั่นสำหรับธุรกิจเช่าซื้อ เนื่องจากมีวันหยุดยาวช่วงเทศกาลสงกรานต์ในเดือนเมษายน ดังนั้นคาดการณ์ว่าผลประกอบการโดยรวมในไตรมาส 3 จะดีขึ้นและจะปรับตัวดียิ่งขึ้นในไตรมาสสุดท้าย เนื่องจากเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจลีสซิ่ง
สำหรับธุรกิจในประเทศไทยนั้น นายมิทซึจิ กล่าวว่า บริษัทฯ ได้ดำเนินนโยบายเชิงอนุรักษ์เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจอยู่ในช่วงชะลอตัว โดยเน้นกลยุทธ์การปรับปรุงคุณภาพของพอร์ตสินเชื่อ ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ มีพอร์ตสินเชื่อคงค้างมูลค่าประมาณ 5,000 ล้านบาทและมียอดขายมอเตอร์ไซค์เฉลี่ยต่อเดือนประมาณ 4,500 คัน โดยบริษัทฯ สามารถปรับลดสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) มาอยู่ที่ระดับ 7% จากปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 11%และมีเป้าหมายปรับลดให้เหลือ 5% ภายในสิ้นปีนี้
ส่วนผลประกอบการในประเทศกัมพูชานั้น บริษัทฯ มียอดขายจากธุรกิจเช่าซื้อรถมอเตอร์ไซค์ Honda และเครื่องจักรกลทางการเกษตร Kubota เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดมีพอร์ตสินเชื่อมอเตอร์ไซค์ทั้งสิ้นประมาณ 30,000 คันและสามารถทำยอดขายเฉลี่ยเดือนละ 1,700-1,800 คัน ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นเดือนละ 4,000 คัน ภายในสิ้นปีนี้
นายมิทซึจิ กล่าวอีกว่า สำหรับธุรกิจในกัมพูชาถือว่ามีต้นทุนต่ำและมีประสิทธิภาพสูงมาก โดยมีอัตรา NPL อยู่ในระดับต่ำมากเพียง 0.4% ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการอยู่ในระดับต่ำ คิดเป็นเพียงประมาณ 1 ใน 3 ของค่าใช้จ่ายในประเทศไทย นอกจากนี้บริษัทได้พัฒนาระบบ E-Finance ที่มีประสิทธิภาพสูงมากในการประเมินเครดิตของลูกค้า โดยมีจุดให้บริการปล่อยสินเชื่อ (Point of Sales) ภายในร้านดีลเลอร์ Honda และ Kubota ทั่วกัมพูชาจำนวนกว่า 160 แห่ง ทั้งนี้เนื่องจากธุรกิจในกัมพูชามีศักยภาพขยายตัวได้อีกมาก จึงคาดว่าผลกำไรจากการดำเนินธุรกิจในกัมพูชาจะเพิ่มขึ้นแซงหน้าประเทศไทยได้ภายในปีหน้า
ขณะเดียวกัน ธุรกิจเช่าซื้อใน สปป.ลาว ซึ่งเปิดตัวไปเมื่อเร็วๆ นี้ ขณะนี้ได้ขยายครอบคลุมทั่วประเทศแล้ว โดยมีเครือข่าย Point of Sales จำนวน 40 แห่ง ในนครเวียงจันทน์และพื้นที่ต่างจังหวัด ซึ่งคาดว่าผลประกอบการใน สปป.ลาว จะถึงจุดคุ้มทุนภายในเดือนกันยานนี้และจะเริ่มส่งผลกำไรให้บริษัทแม่ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ทั้งนี้ธุรกิจเช่าซื้อใน สปป.ลาว ใช้ระยะเวลาสั้นมากก่อนถึงจุดคุ้มทุน เนื่องจากได้ใช้โมเดลของธุรกิจในกัมพูชาที่ถูกพัฒนาขึ้นมาอย่างมีประสิทธิภาพเป็นต้นแบบ