ประเด็นสำคัญจากคำสั่งศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ:
- คดียังไม่ปรากฎชัดเจนว่า บริษัท เจทรัสต์ เอเชีย พีทีอี จำกัด (“JTA”) มีสิทธิตามกฎหมายที่จะยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการหรือไม่ เนื่องจากยังไม่ชัดเจนว่า JTA มีสถานะเป็นเจ้าหนี้ของ GL หรือไม่ และ
- คดียังไม่มีการพิสูจน์ว่า GL มีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่ ตามคำนิยามของกฎหมายล้มละลาย
ดังนั้น ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษจึงมีคำสั่งให้ศาลล้มละลายกลางไต่สวนคำร้องใหม่ เพื่อให้ JTA มีโอกาสนำเสนอพยานหลักฐานเพื่อสนับสนุนข้อกล่าวอ้างของตนอีกครั้งว่า GL มีหนี้สินล้นพ้นตัว ซึ่งผู้บริหารของ GL มีความเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า บริษัทไม่ได้มีหนี้สินล้นพ้นตัวเนื่องจากบริษัทมีสินทรัพย์มากกว่าหนี้สิ้น ( กล่าวคือ บริษัทมีสินทรัพย์ 14,600,000,000 บาท และหนี้สิน 8,700,000,000 บาท ณ วันที่ 30 กันยายน 2561) และประเด็นดังกล่าวจะได้มีการพิสูจน์ต่อไปในชั้นศาล นอกจากนี้ บริษัทเชื่อมั่นว่า ปัจจุบันบริษัทไม่มีหน้าที่ที่จะต้องชำระหนี้ให้แก่ JTA และเนื่องจากบริษัทไม่มีหนี้ที่ถึงกำหนดชำระแก่ JTA JTA จึงไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องบริษัทต่อศาลล้มละลายกลาง
ผลกระทบประการหนึ่งของคำสั่งศาล คือ GL ต้องเข้าสู่ “สภาวะพักการชำระหนี้ (automatic stay)” อีกครั้งหนึ่ง โดยเป็นไปตามกฎหมายล้มละลาย อย่างไรก็ดี ผู้บริหารของ GL ขอยืนยันว่าคำสั่งศาลไม่ส่งผลกระทบต่อการประกอบธุรกิจตามปกติของ GL และบริษัทย่อยแต่อย่างใด ทั้งนี้ บริษัทเคยเข้าสู่สภาวะพักการชำระหนี้มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อศาลล้มละลายกลางรับพิจารณาคดี และในช่วงเวลาดังกล่าวบริษัทก็ยังสามารถดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ รวมถึงการเข้าทำสัญญากับลูกค้าและคู่ค้าทางธุรกิจต่างๆ และจ่ายค่าจ้างให้กับลูกจ้างตามปกติ อย่างไรก็ตาม บริษัทจะไม่สามารถชำระเงินปันผลจนกว่าการพิจารณาของศาลจะสิ้นสุด
ศาลได้กำหนดวันไต่สวนนัดแรกในวันที่ 26 เมษายน และบริษัทจะใช้ความพยายามอย่างสุดความสามารถ ที่จะทำให้คดีเสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด เพื่อให้บริษัทสามารถกลับมาทุ่มเทกำลังความสามารถของบริษัทเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ถือหุ้น
ผู้บริหารของ GL ขอขอบคุณ KAsset KBank และเจ้าหนี้รายอื่นๆ ที่คัดค้านคำร้องขอให้ฟื้นฟูกิจการของJTA และได้แสดงความจริงใจและมอบความสนับสนุนอย่างสูงสุดให้แก่การดำเนินธุรกิจของ GL