เดือน: สิงหาคม 2017
28 สิงหาคม 2560 : GL เพิ่มประสิทธิภาพบริหารความเสี่ยงด้านสินเชื่อ รับชำระเงินกู้ล่วงหน้าจากลูกหนี้กลุ่มไซปรัส
- Post author By admin
- Post date สิงหาคม 28, 2017
GL เพิ่มประสิทธิภาพบริหารความเสี่ยงด้านสินเชื่อ รับชำระเงินกู้ล่วงหน้าจากลูกหนี้กลุ่มไซปรัส
28 Aug 2017
บมจ.กรุ๊ปลีส หรือ GL ผู้นำธุรกิจดิจิทัลไฟแนนซ์ในภูมิภาคเอเชีย เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารความเสี่ยงสินเชื่อ หลังอนุมัติให้ผู้กู้กลุ่มไซปรัสชำระคืนเงินกู้ล่วงหน้าที่คำนวณตั้งแต่ 1 ก.ค.-30 ก.ย.นี้ เป็นจำนวนเงินกว่า 13.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมดอกเบี้ย ช่วยรักษาสัดส่วนระหว่างเงินกู้ยืมและหลักประกันอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ส่งผลยอดหนี้คงเหลือของผู้กู้กลุ่มไซปรัสและผู้กู้กลุ่มสิงคโปร์อยู่ที่กว่า 56 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่มูลค่าหลักประกันเงินกู้ยืมของผู้กู้ 2 ราย อยู่ที่กว่า 72 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ยังคงสูงกว่าหลักประกันอยู่ถึง 129.17%
นายทัตซึยะ โคโนชิตะ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) หรือ GL ผู้นำธุรกิจดิจิทัลไฟแนนซ์ในภูมิภาคเอเชีย เปิดเผยว่า จากกรณีที่ Group Lease Holdings Pte. Ltd (GLH) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ GL ในประเทศสิงคโปร์ ได้ให้เงินกู้ยืมแก่ผู้กู้กลุ่มไซปรัส และได้รับชำระคืนเงินกู้ยืมพร้อมดอกเบี้ยล่วงหน้าก่อนกำหนดตามสัญญาเงินกู้บางฉบับไปแล้วเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ล่าสุด GLH ได้รับการติดต่อจากผู้กู้กลุ่มไซปรัสเพื่อขอชำระคืนเงินกู้ยืมล่วงหน้าตามสัญญาเงินกู้บางฉบับอีกครั้ง และตัดสินใจอนุมัติให้ผู้กู้ชำระคืนเงินกู้ยืมล่วงหน้า หลังจากที่พิจารณาแล้วว่าจะเป็นประโยชน์ต่อบริษัทฯ เนื่องจากจะเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารความเสี่ยงด้านสินเชื่อได้อย่างเหมาะสมมากยิ่งขึ้น และยังช่วยรักษาสัดส่วนระหว่างเงินกู้ยืมกับหลักประกันให้อยู่ในระดับที่ดี ถึงแม้อาจส่งผลกระทบกับรายได้จากดอกเบี้ยเงินกู้ยืมที่จะได้รับในอนาคตบ้างก็ตาม
ทั้งนี้ GLH ได้รับการชำระคืนเงินกู้ยืมล่วงหน้าตามสัญญาจำนวน 3 ฉบับจากผู้กู้กลุ่มไซปรัส (Adalene Limited) ซึ่งคำนวณตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม – 30 กันยายน 2560 ในครั้งนี้ เป็นจำนวนเงิน 13,136,612 ดอลลาร์สหรัฐ (เทียบเท่า 436,948,675 บาท) และดอกเบี้ยค้างรับอีกจำนวน 489,158 ดอลลาร์สหรัฐ (เทียบเท่า 16,270,324 บาท) เป็นที่เรียบร้อย ดังนั้น ภายหลังที่ผู้กู้กลุ่มไซปรัสได้คืนเงินกู้ยืมล่วงหน้าเต็มจำนวน GLH จึงได้คืนหุ้นสามัญของ GL จำนวน 11.5 ล้านหุ้นที่ถูกนำมาใช้เป็นหลักประกันการกู้ยืมเงินครั้งนี้ให้แก่ผู้กู้เป็นที่เรียบร้อย
ประธานคณะกรรมการบริหาร GL กล่าวว่า หลังจากที่ได้รับชำระหนี้คืนหนี้เงินกู้ล่วงหน้าบางส่วนแล้ว GLH มียอดหนี้คงค้างที่ปล่อยกู้ให้แก่ผู้กู้ 2 กลุ่ม ได้แก่ ผู้กู้กลุ่มไซปรัสและผู้กู้กลุ่มสิงคโปร์ ณ วันที่ 22 สิงหาคม 2560 จำนวนรวมทั้งสิ้น 56,108,604 ดอลลาร์สหรัฐ ในจำนวนนี้แบ่งเป็น 1.ผู้กู้กลุ่มไซปรัส มียอดเงินกู้คงค้างที่ยังไม่ครบกำหนดชำระจำนวน 16,461,654 ดอลลาร์สหรัฐ และดอกเบี้ยค้างรับอีกจำนวน 326,202 ดอลลาร์สหรัฐ และ 2.ผู้กู้กลุ่มสิงคโปร์ มียอดเงินกู้คงค้างที่ยังไม่ครบกำหนดชำระจำนวน 39,646,950 ดอลลาร์สหรัฐ
ขณะที่ หลักประกันการกู้ยืมที่ผู้กู้ทั้ง 2 กลุ่มนำมาใช้ค้ำประกันเงินกู้นั้น ปัจจุบันมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 72,470,251 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมีมูลค่ามากกว่ายอดหนี้คงค้างคิดเป็น 129.16% และไม่มีการนำหุ้นสามัญของ GL มาใช้เป็นหลักประกันการกู้ยืมเงินแล้ว โดยมูลค่าหลักประกันดังกล่าวแบ่งเป็นหลักประกันของผู้กู้กลุ่มไซปรัสมีมูลค่า 23,698,202 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคิดเป็น 143.96% ของยอดหนี้คงค้าง และหลักประกันของผู้กู้กลุ่มสิงคโปร์มีมูลค่า 48,772,049 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคิดเป็น 123.02% ของยอดหนี้คงค้าง
“การที่ผู้กู้กลุ่มไซปรัสสามารถชำระคืนหนี้ล่วงหน้าเป็นการสะท้อนถึงความสามารถในการใช้คืนเงินกู้ได้เป็นอย่างดี และจากมูลค่าของหลักประกันคงเหลือที่ยังคงสูงกว่ายอดหนี้คงค้างจึงเป็นการบริหารความเสี่ยงการให้เงินกู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ” นายทัตซึยะ กล่าว
นายทัตซึยะชี้แจงเพิ่มเติมว่า การชำระหนี้คืนก่อนกำหนดถือว่าเป็นประโยชน์โดยตรงกับ GL เนื่องจากเป็นการชำระเงินต้นคืนก่อนกำหนด แต่ดอกเบี้ยค้างรับนั้นมีการชำระคืนจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2560 โดยขณะนี้ GL ได้ขยายธุรกิจไปยังประเทศเมียนมาร์ซึ่งมีศักยภาพสูงมากและสามารถปล่อยสินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า 40% เทียบกับดอกเบี้ยประมาณ 15% จากผู้กู้กลุ่มไซปรัส โดย GL ได้โยกย้ายเงินทุนก้อนใหม่ไปสนับสนุนการขยายธุรกิจในเมียนมาร์แล้ว
สิงหาคม 2017
24 Aug 2017
บมจ.กรุ๊ปลีส หรือ GL ผู้นำธุรกิจดิจิทัลไฟแนนซ์ในภูมิภาคเอเชีย ออกโรงชี้แจงกรณีสำนักงานบังคับคดีแพ่งกรุงเทพมหานคร 2 ออกประกาศเตรียมนำหุ้น GL ของบริษัท เอ.พี.เอฟ. โฮลดิ้งส์ จำกัด ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของ GL ออกขายทอดตลาด ยืนยันเป็นคดีความที่เกิดขึ้นระหว่างโจทก์และบริษัทที่เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ เท่ากับว่า GL ไม่มีส่วนต้องรับผิดชอบชดใช้เงินแต่อย่างใดและไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ ด้านผู้บริหารระบุ บริษัท เอ.พี.เอฟ. โฮลดิ้งส์ จำกัด อยู่ระหว่างหาแนวทางคัดค้านการนำหุ้นออกขายทอดตลาด ชี้หุ้นที่ถูกนำมาขายทอดตลาดครั้งนี้มีสัดส่วนเพียง 0.87% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด มั่นใจไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสถานะในการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
จากกรณีที่เจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีแพ่งกรุงเทพมหานคร 2 ได้ออกประกาศเรื่องการขายทอดตลาดหุ้น บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) หรือ GL ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ บริษัท เอ.พี.เอฟ. โฮลดิ้งส์ จำกัด ในฐานะจำเลยที่ 1 ในคดีศาลแพ่งกรุงเทพใต้ โดยบริษัท เอ.พี.เอฟ.โฮลดิ้งส์ จำกัด หรือ APFH มีสถานะเป็นหนึ่งในถือหุ้นใหญ่ของ GL นั้น
นายทัตซึยะ โคโนชิตะ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) หรือ GL ผู้นำธุรกิจดิจิทัลไฟแนนซ์ในภูมิภาคเอเชีย กล่าวชี้แจงว่า ปัจจุบันบริษัท เอ.พี.เอฟ. โฮลดิ้งส์ จำกัด เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของ GL โดยถือครองหุ้นจำนวน 158,911,191 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 10.42% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด อย่างไรก็ตาม สำหรับคดีความที่เกิดขึ้นไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างโจทก์กับบริษัทที่เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของ GL เท่านั้น ดังนั้น GL จึงไม่มีส่วนรับผิดชอบต่อการชดใช้เงินให้แก่โจทก์ และมั่นใจว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานหรือการบริหารภายในบริษัทฯ แต่อย่างใด
ทั้งนี้ สำหรับหุ้น GL ของบริษัท เอ.พี.เอฟ. โฮลดิ้งส์ จำกัด ที่จะถูกนำออกขายทอดตลาดนั้น มีจำนวนทั้งสิ้น 13,395,771 หุ้น ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเพียง 0.87% ของจำนวนหุ้น GL ทั้งหมด จึงไม่มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสถานะการเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของ GL เนื่องจากภายหลังการขายทอดตลาดครั้งนี้ จะยังคงเหลือหุ้น GL ที่ถือครองอยู่อีกจำนวน 145,515,420 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 9.53% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบริษัท เอ.พี.เอฟ. โฮลดิ้งส์ จำกัด อยู่ระหว่างการพิจารณาหาแนวทางที่เหมาะสมในการนำไปสู่การคัดค้านหรือยุติการนำหุ้น GL ออกขายทอดตลาดในครั้งนี้
ประธานคณะกรรมการบริหาร GL กล่าวว่า การที่สำนักงานบังคับคดีแพ่งกรุงเทพมหานคร 2 มีประกาศขายทอดตลาดหุ้น GL ครั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าบริษัท เอ.พี.เอฟ. โฮลดิ้งส์ จำกัด ไม่มีความสามารถชำระเงินให้แก่โจทก์แต่อย่างใด ขณะเดียวกัน จะไม่มีหุ้นหรือสินทรัพย์อื่นๆ ของบริษัท เอ.พี.เอฟ.โฮลดิ้งส์ จำกัด ที่จะต้องถูกนำมาขายทอดตลาดเพิ่มเติมในภายหลัง
“เราขอให้ความมั่นใจแก่ผู้ถือหุ้นว่าการนำหุ้นออกขายทอดตลาดครั้งนี้ เป็นคดีความที่เกิดขึ้นระหว่างโจทก์และบริษัท เอ.พี.เอฟ. โฮลดิ้งส์ จำกัด ดังนั้น GL จึงไม่มีส่วนที่เกี่ยวข้องในความรับผิดชอบหรือชดใช้เงินให้แก่โจทก์ โดยคณะผู้บริหารของ GL ยังคงมุ่งมั่นในการบริหารงานและขยายธุรกิจดิจิทัลไฟแนนซ์ในภูมิภาคเอเชียตามแผนงานที่วางไว้เพื่อสร้างการเติบโตให้แก่ธุรกิจอย่างต่อเนื่อง” นายทัตซึยะ กล่าว
24 สิงหาคม 2560 : แจ้งข่าวเกี่ยวกับผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานของบริษัทแต่อย่างใด
- Post author By admin
- Post date สิงหาคม 24, 2017
GL ยันผู้ถือหุ้นใหญ่ถูกยึดหุ้นขายทอดตลาดไม่กระทบบริษัทฯ เตรียมหาแนวทางขอคัดค้านการขาย
24 Aug 2017
บมจ.กรุ๊ปลีส หรือ GL ผู้นำธุรกิจดิจิทัลไฟแนนซ์ในภูมิภาคเอเชีย ออกโรงชี้แจงกรณีสำนักงานบังคับคดีแพ่งกรุงเทพมหานคร 2 ออกประกาศเตรียมนำหุ้น GL ของบริษัท เอ.พี.เอฟ. โฮลดิ้งส์ จำกัด ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของ GL ออกขายทอดตลาด ยืนยันเป็นคดีความที่เกิดขึ้นระหว่างโจทก์และบริษัทที่เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ เท่ากับว่า GL ไม่มีส่วนต้องรับผิดชอบชดใช้เงินแต่อย่างใดและไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ ด้านผู้บริหารระบุ บริษัท เอ.พี.เอฟ. โฮลดิ้งส์ จำกัด อยู่ระหว่างหาแนวทางคัดค้านการนำหุ้นออกขายทอดตลาด ชี้หุ้นที่ถูกนำมาขายทอดตลาดครั้งนี้มีสัดส่วนเพียง 0.87% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด มั่นใจไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสถานะในการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
จากกรณีที่เจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีแพ่งกรุงเทพมหานคร 2 ได้ออกประกาศเรื่องการขายทอดตลาดหุ้น บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) หรือ GL ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ บริษัท เอ.พี.เอฟ. โฮลดิ้งส์ จำกัด ในฐานะจำเลยที่ 1 ในคดีศาลแพ่งกรุงเทพใต้ โดยบริษัท เอ.พี.เอฟ.โฮลดิ้งส์ จำกัด หรือ APFH มีสถานะเป็นหนึ่งในถือหุ้นใหญ่ของ GL นั้น
นายทัตซึยะ โคโนชิตะ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) หรือ GL ผู้นำธุรกิจดิจิทัลไฟแนนซ์ในภูมิภาคเอเชีย กล่าวชี้แจงว่า ปัจจุบันบริษัท เอ.พี.เอฟ. โฮลดิ้งส์ จำกัด เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของ GL โดยถือครองหุ้นจำนวน 158,911,191 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 10.42% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด อย่างไรก็ตาม สำหรับคดีความที่เกิดขึ้นไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างโจทก์กับบริษัทที่เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของ GL เท่านั้น ดังนั้น GL จึงไม่มีส่วนรับผิดชอบต่อการชดใช้เงินให้แก่โจทก์ และมั่นใจว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานหรือการบริหารภายในบริษัทฯ แต่อย่างใด
ทั้งนี้ สำหรับหุ้น GL ของบริษัท เอ.พี.เอฟ. โฮลดิ้งส์ จำกัด ที่จะถูกนำออกขายทอดตลาดนั้น มีจำนวนทั้งสิ้น 13,395,771 หุ้น ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเพียง 0.87% ของจำนวนหุ้น GL ทั้งหมด จึงไม่มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสถานะการเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของ GL เนื่องจากภายหลังการขายทอดตลาดครั้งนี้ จะยังคงเหลือหุ้น GL ที่ถือครองอยู่อีกจำนวน 145,515,420 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 9.53% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบริษัท เอ.พี.เอฟ. โฮลดิ้งส์ จำกัด อยู่ระหว่างการพิจารณาหาแนวทางที่เหมาะสมในการนำไปสู่การคัดค้านหรือยุติการนำหุ้น GL ออกขายทอดตลาดในครั้งนี้
ประธานคณะกรรมการบริหาร GL กล่าวว่า การที่สำนักงานบังคับคดีแพ่งกรุงเทพมหานคร 2 มีประกาศขายทอดตลาดหุ้น GL ครั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าบริษัท เอ.พี.เอฟ. โฮลดิ้งส์ จำกัด ไม่มีความสามารถชำระเงินให้แก่โจทก์แต่อย่างใด ขณะเดียวกัน จะไม่มีหุ้นหรือสินทรัพย์อื่นๆ ของบริษัท เอ.พี.เอฟ.โฮลดิ้งส์ จำกัด ที่จะต้องถูกนำมาขายทอดตลาดเพิ่มเติมในภายหลัง
“เราขอให้ความมั่นใจแก่ผู้ถือหุ้นว่าการนำหุ้นออกขายทอดตลาดครั้งนี้ เป็นคดีความที่เกิดขึ้นระหว่างโจทก์และบริษัท เอ.พี.เอฟ. โฮลดิ้งส์ จำกัด ดังนั้น GL จึงไม่มีส่วนที่เกี่ยวข้องในความรับผิดชอบหรือชดใช้เงินให้แก่โจทก์ โดยคณะผู้บริหารของ GL ยังคงมุ่งมั่นในการบริหารงานและขยายธุรกิจดิจิทัลไฟแนนซ์ในภูมิภาคเอเชียตามแผนงานที่วางไว้เพื่อสร้างการเติบโตให้แก่ธุรกิจอย่างต่อเนื่อง” นายทัตซึยะ กล่าว
15 สิงหาคม 2560 : GL กำไร Q2 ทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 11
- Post author By admin
- Post date สิงหาคม 15, 2017
GL กำไร Q2 ทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 11
15 Aug 2017
บมจ.กรุ๊ปลีส ผู้นำธุรกิจดิจิทัลไฟแนนซ์ในภูมิภาคเอเชีย รายงานตัวเลขผลประกอบการไตรมาส 2/2560 ทำกำไรสุทธิ 337.69 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.70% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยนับเป็นกำไรสุทธิสูงสุดต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 11 ซึ่งกำไรสุทธิไตรมาสล่าสุดนี้ สะท้อนผลประกอบการที่ดีขึ้นในทุกตลาด ที่ GL ดำเนินธุรกิจอยู่ โดยเฉพาะฐานธุรกิจหลักในประเทศไทยและกัมพูชา ตลอดจนตลาดใหม่ในประเทศเมียนมาและอินโดนีเซีย
รายงานงบการเงินประจำไตรมาส Q2/2560 ที่แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ วันนี้ (15 ส.ค.) ระบุว่า รายได้ดอกเบี้ยจากธุรกิจเช่าซื้อมียอดทั้งสิ้น 525.89 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.61 ล้านบาท หรือ 6.83% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นนี้ ส่วนใหญ่มาจากผลประกอบการของบริษัทฯ ย่อยในกัมพูชาและ สปป.ลาว ซึ่งเพิ่มขึ้น 14.86 ล้านบาท และ 13.18 ล้านบาทตามลำดับ
สำหรับรายได้ดอกเบี้ยจากเงินกู้ที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ซึ่งผู้กู้ใช้มอเตอร์ไซต์เดิมของตนเองเป็นหลักทรัพย์ เพิ่มขึ้น 12.41 ล้านบาท หรือ 46% เป็นยอดเงิน 39.37 ล้านบาท โดยยอดรายได้ที่เพิ่มขึ้น 12.41 ล้านบาทนั้น ประกอบด้วย 12.02 ล้านบาท มาจากผลประกอบการบริษัทฯ ย่อยในประเทศไทย คือ บริษัท ธนบรรณ จำกัด ขณะที่สินค้าเชื่อประเภทนี้ ได้นำไปให้บริการเป็นสินเชื่อประเภทใหม่ในประเทศกัมพูชา ซึ่งสามารถเริ่มสร้างรายได้ 0.39 ล้านบาทในไตรมาสนี้
ส่วนธุรกิจไมโครไฟแนนซ์ ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ในประเทศเมียนมา ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง โดยสร้างรายได้ดอกเบี้ยในไตรมาสนี้เป็นครั้งแรกเป็นเงิน 6.22 ล้านบาท ซึ่งสินเชื่อประเภทนี้ ประกอบด้วยเงินกู้ขนาดเล็กระยะเวลาชำระคืน 50 สัปดาห์ โดยปล่อยสินเชื่อให้กับกลุ่มแม่บ้าน กลุ่มละ 5 คน ซึ่งต้องดูแลรับผิดชอบซึ่งกันและกันในการชำระคืนเป็นรายสัปดาห์ โดยตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีหนี้เสียเกิดขึ้น ถือว่าเป็นหนี้ NPL 0%
จุดเด่นอีกส่วนหนึ่งจากผลประกอบการในไตรมาส 2/2560 มาจาก รายได้ดอกเบี้ยจากสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค (Consumer Finance) มูลค่า 12.18 ล้านบาท จากผลประกอบการบริษัทฯ ร่วมทุนระหว่าง GL กับพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ JTrust Asia (JTA) ในอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นบริษัทไฟแนนซ์ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปีที่แล้ว และให้บริการสินเชื่อหลายรูปแบบภายใต้ชื่อบริษัทร่วมทุน PT Group Lease Finance Indonesia (GLFI) ซึ่งเป็นบริษัทที่มีรายได้จากค่าธรรมเนียมในการให้บริการต่างๆ เช่น การตลาด การคัดเลือกลูกค้าและการเก็บเงินค่างวดโดยเน้นสินเชื่อสำหรับเครื่องมือทางด้านการเกษตรและจักรยานยนต์ โดยตัวเงินกู้สำหรับสินเชื่อนั้น มาจากธนาคาร PT Bank JTrust Indonesia (ธนาคารท้องถิ่นในเครือบริษัท J Trust Co. โดยตัวบริษัท J Trust Co. จดทะเบียนในตลาดหุ้นโตเกียว)
สำหรับประเทศอินโดนีเซียนั้น เป็นตลาดใหญ่มีประชากรมากกว่า 250 ล้านคน และมีศักยภาพในการขยายธุรกิจได้อย่างมาก โดยประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ J Trust Co. นาย Nobuyoshi Fujisawa ได้กล่าวเมื่อเร็วๆ นี้ว่า ธุรกิจร่วมทุนระหว่าง GL และ J Trust ในอินโดนีเซีย จะขยายเป็นพอร์ตโฟลิโอที่ใหญ่ที่สุดและสร้างผลกำไรมากที่สุดสำหรับ GL ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า
รายได้ที่สำคัญอีกส่วนหนึ่ง เป็นรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้กู้สำหรับ SME ในประเทศสิงคโปร์และไซปรัส รวมเป็นเงิน 125.99 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 8.88% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุน 29.99% ในบริษัท Commercial Credit&finance (CCF) ในประเทศศรีลังกา ในไตรมาสนี้มียอดเงิน 36.73 ล้านบาท หรือลดลง 24% จากส่วนแบ่งกำไรในไตรมาสก่อนหน้านี้ เนื่องจากประเทศศรีลังกา มีวันหยุดประจำชาติยาวนานถึง 2 สัปดาห์ในเดือนเมษายน โดยบริษัท CCF ถือเป็นธรรมเนียมปฎิบัติไม่เก็บดอกเบี้ยจากลูกค้าทั้งหมดในช่วงวันหยุดยาวดังกล่าว ดังนั้น กำไรในไตรมาสนี้ ถือว่าอยู่ในระดับต่ำตามฤดูกาล
นายทัตซึยะ โคโนชิตะ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) หรือ GL ผู้นำธุรกิจดิจิทัลไฟแนนซ์ในภูมิภาคเอเชีย กล่าวชี้แจงว่า กำไรสุทธิสุทธิที่ปรับเพิ่มขึ้น เป็นยอดสูงสุดในไตรมาส 2/2560 นั้น เป็นผลจากผลประกอบการที่ปรับตัวดีขึ้นในทุกๆ ตลาดที่ GL ดำเนินธุรกิจอยู่ แม้ว่าค่าใช้จ่ายด้านการบริหารจะปรับเพิ่มสูงขึ้นจากการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องก็ตาม โดยค่าใช้จ่ายด้านการบริหารจัดการทั้งสิ้นในไตรมาสนี้อยู่ที่ 271.89 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 25.12% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายด้านบริหารจัดการยังขยายตัวในอัตราที่ต่ำกว่าการเพิ่มขึ้นของรายได้ สะท้อนถึงการบริหารที่มีประสิทธิภาพสูง
ธุรกิจในกัมพูชาและประเทศไทย ยังคงเป็นธุรกิจหลักของกลุ่ม GL โดยมีส่วนแบ่ง 49.3% และ 45.3% ตามลำดับ ในยอดพอร์ตโฟลิโอทั้งสิ้น 10,246 ล้านบาท ขณะที่ส่วนแบ่งของ สปป.ลาว เมียนมาและอินโดนีเซีย ยังอยู่ในระดับต่ำที่ 3.7%, 1.1% และ 0.7% ตามลำดับ