Categories
ข่าวแจ้งสื่อมวลชน

28 สิงหาคม 2560 : GL เพิ่มประสิทธิภาพบริหารความเสี่ยงด้านสินเชื่อ รับชำระเงินกู้ล่วงหน้าจากลูกหนี้กลุ่มไซปรัส

GL เพิ่มประสิทธิภาพบริหารความเสี่ยงด้านสินเชื่อ รับชำระเงินกู้ล่วงหน้าจากลูกหนี้กลุ่มไซปรัส

28 Aug 2017

บมจ.กรุ๊ปลีส หรือ GL ผู้นำธุรกิจดิจิทัลไฟแนนซ์ในภูมิภาคเอเชีย เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารความเสี่ยงสินเชื่อ หลังอนุมัติให้ผู้กู้กลุ่มไซปรัสชำระคืนเงินกู้ล่วงหน้าที่คำนวณตั้งแต่ 1 ก.ค.-30 ก.ย.นี้ เป็นจำนวนเงินกว่า 13.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมดอกเบี้ย ช่วยรักษาสัดส่วนระหว่างเงินกู้ยืมและหลักประกันอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ส่งผลยอดหนี้คงเหลือของผู้กู้กลุ่มไซปรัสและผู้กู้กลุ่มสิงคโปร์อยู่ที่กว่า 56 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่มูลค่าหลักประกันเงินกู้ยืมของผู้กู้ 2 ราย อยู่ที่กว่า 72 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ยังคงสูงกว่าหลักประกันอยู่ถึง 129.17%

นายทัตซึยะ โคโนชิตะ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) หรือ GL ผู้นำธุรกิจดิจิทัลไฟแนนซ์ในภูมิภาคเอเชีย เปิดเผยว่า จากกรณีที่ Group Lease Holdings Pte. Ltd (GLH) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ GL ในประเทศสิงคโปร์ ได้ให้เงินกู้ยืมแก่ผู้กู้กลุ่มไซปรัส และได้รับชำระคืนเงินกู้ยืมพร้อมดอกเบี้ยล่วงหน้าก่อนกำหนดตามสัญญาเงินกู้บางฉบับไปแล้วเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ล่าสุด GLH ได้รับการติดต่อจากผู้กู้กลุ่มไซปรัสเพื่อขอชำระคืนเงินกู้ยืมล่วงหน้าตามสัญญาเงินกู้บางฉบับอีกครั้ง และตัดสินใจอนุมัติให้ผู้กู้ชำระคืนเงินกู้ยืมล่วงหน้า หลังจากที่พิจารณาแล้วว่าจะเป็นประโยชน์ต่อบริษัทฯ เนื่องจากจะเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารความเสี่ยงด้านสินเชื่อได้อย่างเหมาะสมมากยิ่งขึ้น และยังช่วยรักษาสัดส่วนระหว่างเงินกู้ยืมกับหลักประกันให้อยู่ในระดับที่ดี ถึงแม้อาจส่งผลกระทบกับรายได้จากดอกเบี้ยเงินกู้ยืมที่จะได้รับในอนาคตบ้างก็ตาม

ทั้งนี้ GLH ได้รับการชำระคืนเงินกู้ยืมล่วงหน้าตามสัญญาจำนวน 3 ฉบับจากผู้กู้กลุ่มไซปรัส (Adalene Limited) ซึ่งคำนวณตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม – 30 กันยายน 2560 ในครั้งนี้ เป็นจำนวนเงิน 13,136,612 ดอลลาร์สหรัฐ (เทียบเท่า 436,948,675 บาท) และดอกเบี้ยค้างรับอีกจำนวน 489,158 ดอลลาร์สหรัฐ (เทียบเท่า 16,270,324 บาท) เป็นที่เรียบร้อย ดังนั้น ภายหลังที่ผู้กู้กลุ่มไซปรัสได้คืนเงินกู้ยืมล่วงหน้าเต็มจำนวน GLH จึงได้คืนหุ้นสามัญของ GL จำนวน 11.5 ล้านหุ้นที่ถูกนำมาใช้เป็นหลักประกันการกู้ยืมเงินครั้งนี้ให้แก่ผู้กู้เป็นที่เรียบร้อย

ประธานคณะกรรมการบริหาร GL กล่าวว่า หลังจากที่ได้รับชำระหนี้คืนหนี้เงินกู้ล่วงหน้าบางส่วนแล้ว GLH มียอดหนี้คงค้างที่ปล่อยกู้ให้แก่ผู้กู้ 2 กลุ่ม ได้แก่ ผู้กู้กลุ่มไซปรัสและผู้กู้กลุ่มสิงคโปร์ ณ วันที่ 22 สิงหาคม 2560 จำนวนรวมทั้งสิ้น 56,108,604 ดอลลาร์สหรัฐ ในจำนวนนี้แบ่งเป็น 1.ผู้กู้กลุ่มไซปรัส มียอดเงินกู้คงค้างที่ยังไม่ครบกำหนดชำระจำนวน 16,461,654 ดอลลาร์สหรัฐ และดอกเบี้ยค้างรับอีกจำนวน 326,202 ดอลลาร์สหรัฐ และ 2.ผู้กู้กลุ่มสิงคโปร์ มียอดเงินกู้คงค้างที่ยังไม่ครบกำหนดชำระจำนวน 39,646,950 ดอลลาร์สหรัฐ

ขณะที่ หลักประกันการกู้ยืมที่ผู้กู้ทั้ง 2 กลุ่มนำมาใช้ค้ำประกันเงินกู้นั้น ปัจจุบันมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 72,470,251 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมีมูลค่ามากกว่ายอดหนี้คงค้างคิดเป็น 129.16% และไม่มีการนำหุ้นสามัญของ GL มาใช้เป็นหลักประกันการกู้ยืมเงินแล้ว โดยมูลค่าหลักประกันดังกล่าวแบ่งเป็นหลักประกันของผู้กู้กลุ่มไซปรัสมีมูลค่า 23,698,202 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคิดเป็น 143.96% ของยอดหนี้คงค้าง และหลักประกันของผู้กู้กลุ่มสิงคโปร์มีมูลค่า 48,772,049 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคิดเป็น 123.02% ของยอดหนี้คงค้าง

“การที่ผู้กู้กลุ่มไซปรัสสามารถชำระคืนหนี้ล่วงหน้าเป็นการสะท้อนถึงความสามารถในการใช้คืนเงินกู้ได้เป็นอย่างดี และจากมูลค่าของหลักประกันคงเหลือที่ยังคงสูงกว่ายอดหนี้คงค้างจึงเป็นการบริหารความเสี่ยงการให้เงินกู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ” นายทัตซึยะ กล่าว

นายทัตซึยะชี้แจงเพิ่มเติมว่า การชำระหนี้คืนก่อนกำหนดถือว่าเป็นประโยชน์โดยตรงกับ GL เนื่องจากเป็นการชำระเงินต้นคืนก่อนกำหนด แต่ดอกเบี้ยค้างรับนั้นมีการชำระคืนจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2560 โดยขณะนี้ GL ได้ขยายธุรกิจไปยังประเทศเมียนมาร์ซึ่งมีศักยภาพสูงมากและสามารถปล่อยสินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า 40% เทียบกับดอกเบี้ยประมาณ 15% จากผู้กู้กลุ่มไซปรัส โดย GL ได้โยกย้ายเงินทุนก้อนใหม่ไปสนับสนุนการขยายธุรกิจในเมียนมาร์แล้ว

Categories
ข่าวแจ้งสื่อมวลชน

24 สิงหาคม 2560 : GL ยันผู้ถือหุ้นใหญ่ถูกยึดหุ้นขายทอดตลาดไม่กระทบบริษัทฯ เตรียมหาแนวทางขอคัดค้านการขาย

ข่าวแจ้งสื่อมวลชน

24 Aug 2017

บมจ.กรุ๊ปลีส หรือ GL ผู้นำธุรกิจดิจิทัลไฟแนนซ์ในภูมิภาคเอเชีย ออกโรงชี้แจงกรณีสำนักงานบังคับคดีแพ่งกรุงเทพมหานคร 2 ออกประกาศเตรียมนำหุ้น GL ของบริษัท เอ.พี.เอฟ. โฮลดิ้งส์ จำกัด ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของ GL ออกขายทอดตลาด ยืนยันเป็นคดีความที่เกิดขึ้นระหว่างโจทก์และบริษัทที่เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ เท่ากับว่า GL ไม่มีส่วนต้องรับผิดชอบชดใช้เงินแต่อย่างใดและไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ ด้านผู้บริหารระบุ บริษัท เอ.พี.เอฟ. โฮลดิ้งส์ จำกัด อยู่ระหว่างหาแนวทางคัดค้านการนำหุ้นออกขายทอดตลาด ชี้หุ้นที่ถูกนำมาขายทอดตลาดครั้งนี้มีสัดส่วนเพียง 0.87% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด มั่นใจไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสถานะในการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่

จากกรณีที่เจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีแพ่งกรุงเทพมหานคร 2 ได้ออกประกาศเรื่องการขายทอดตลาดหุ้น บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) หรือ GL ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ บริษัท เอ.พี.เอฟ. โฮลดิ้งส์ จำกัด ในฐานะจำเลยที่ 1 ในคดีศาลแพ่งกรุงเทพใต้ โดยบริษัท เอ.พี.เอฟ.โฮลดิ้งส์ จำกัด หรือ APFH มีสถานะเป็นหนึ่งในถือหุ้นใหญ่ของ GL นั้น

นายทัตซึยะ โคโนชิตะ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) หรือ GL ผู้นำธุรกิจดิจิทัลไฟแนนซ์ในภูมิภาคเอเชีย กล่าวชี้แจงว่า ปัจจุบันบริษัท เอ.พี.เอฟ. โฮลดิ้งส์ จำกัด เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของ GL โดยถือครองหุ้นจำนวน 158,911,191 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 10.42% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด อย่างไรก็ตาม สำหรับคดีความที่เกิดขึ้นไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างโจทก์กับบริษัทที่เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของ GL เท่านั้น ดังนั้น GL จึงไม่มีส่วนรับผิดชอบต่อการชดใช้เงินให้แก่โจทก์ และมั่นใจว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานหรือการบริหารภายในบริษัทฯ แต่อย่างใด

ทั้งนี้ สำหรับหุ้น GL ของบริษัท เอ.พี.เอฟ. โฮลดิ้งส์ จำกัด ที่จะถูกนำออกขายทอดตลาดนั้น มีจำนวนทั้งสิ้น 13,395,771 หุ้น ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเพียง 0.87% ของจำนวนหุ้น GL ทั้งหมด จึงไม่มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสถานะการเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของ GL เนื่องจากภายหลังการขายทอดตลาดครั้งนี้ จะยังคงเหลือหุ้น GL ที่ถือครองอยู่อีกจำนวน 145,515,420 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 9.53% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบริษัท เอ.พี.เอฟ. โฮลดิ้งส์ จำกัด อยู่ระหว่างการพิจารณาหาแนวทางที่เหมาะสมในการนำไปสู่การคัดค้านหรือยุติการนำหุ้น GL ออกขายทอดตลาดในครั้งนี้

ประธานคณะกรรมการบริหาร GL กล่าวว่า การที่สำนักงานบังคับคดีแพ่งกรุงเทพมหานคร 2 มีประกาศขายทอดตลาดหุ้น GL ครั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าบริษัท เอ.พี.เอฟ. โฮลดิ้งส์ จำกัด ไม่มีความสามารถชำระเงินให้แก่โจทก์แต่อย่างใด ขณะเดียวกัน จะไม่มีหุ้นหรือสินทรัพย์อื่นๆ ของบริษัท เอ.พี.เอฟ.โฮลดิ้งส์ จำกัด ที่จะต้องถูกนำมาขายทอดตลาดเพิ่มเติมในภายหลัง

“เราขอให้ความมั่นใจแก่ผู้ถือหุ้นว่าการนำหุ้นออกขายทอดตลาดครั้งนี้ เป็นคดีความที่เกิดขึ้นระหว่างโจทก์และบริษัท เอ.พี.เอฟ. โฮลดิ้งส์ จำกัด ดังนั้น GL จึงไม่มีส่วนที่เกี่ยวข้องในความรับผิดชอบหรือชดใช้เงินให้แก่โจทก์ โดยคณะผู้บริหารของ GL ยังคงมุ่งมั่นในการบริหารงานและขยายธุรกิจดิจิทัลไฟแนนซ์ในภูมิภาคเอเชียตามแผนงานที่วางไว้เพื่อสร้างการเติบโตให้แก่ธุรกิจอย่างต่อเนื่อง” นายทัตซึยะ กล่าว

 

Categories
ข่าวแจ้งสื่อมวลชน

24 สิงหาคม 2560 : แจ้งข่าวเกี่ยวกับผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานของบริษัทแต่อย่างใด

GL ยันผู้ถือหุ้นใหญ่ถูกยึดหุ้นขายทอดตลาดไม่กระทบบริษัทฯ เตรียมหาแนวทางขอคัดค้านการขาย

24 Aug 2017

บมจ.กรุ๊ปลีส หรือ GL ผู้นำธุรกิจดิจิทัลไฟแนนซ์ในภูมิภาคเอเชีย ออกโรงชี้แจงกรณีสำนักงานบังคับคดีแพ่งกรุงเทพมหานคร 2 ออกประกาศเตรียมนำหุ้น GL ของบริษัท เอ.พี.เอฟ. โฮลดิ้งส์ จำกัด ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของ GL ออกขายทอดตลาด ยืนยันเป็นคดีความที่เกิดขึ้นระหว่างโจทก์และบริษัทที่เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ เท่ากับว่า GL ไม่มีส่วนต้องรับผิดชอบชดใช้เงินแต่อย่างใดและไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ ด้านผู้บริหารระบุ บริษัท เอ.พี.เอฟ. โฮลดิ้งส์ จำกัด อยู่ระหว่างหาแนวทางคัดค้านการนำหุ้นออกขายทอดตลาด ชี้หุ้นที่ถูกนำมาขายทอดตลาดครั้งนี้มีสัดส่วนเพียง 0.87% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด มั่นใจไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสถานะในการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่

จากกรณีที่เจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีแพ่งกรุงเทพมหานคร 2 ได้ออกประกาศเรื่องการขายทอดตลาดหุ้น บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) หรือ GL ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ บริษัท เอ.พี.เอฟ. โฮลดิ้งส์ จำกัด ในฐานะจำเลยที่ 1 ในคดีศาลแพ่งกรุงเทพใต้ โดยบริษัท เอ.พี.เอฟ.โฮลดิ้งส์ จำกัด หรือ APFH มีสถานะเป็นหนึ่งในถือหุ้นใหญ่ของ GL นั้น

นายทัตซึยะ โคโนชิตะ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) หรือ GL ผู้นำธุรกิจดิจิทัลไฟแนนซ์ในภูมิภาคเอเชีย กล่าวชี้แจงว่า ปัจจุบันบริษัท เอ.พี.เอฟ. โฮลดิ้งส์ จำกัด เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของ GL โดยถือครองหุ้นจำนวน 158,911,191 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 10.42% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด อย่างไรก็ตาม สำหรับคดีความที่เกิดขึ้นไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างโจทก์กับบริษัทที่เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของ GL เท่านั้น ดังนั้น GL จึงไม่มีส่วนรับผิดชอบต่อการชดใช้เงินให้แก่โจทก์ และมั่นใจว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานหรือการบริหารภายในบริษัทฯ แต่อย่างใด

ทั้งนี้ สำหรับหุ้น GL ของบริษัท เอ.พี.เอฟ. โฮลดิ้งส์ จำกัด ที่จะถูกนำออกขายทอดตลาดนั้น มีจำนวนทั้งสิ้น 13,395,771 หุ้น ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเพียง 0.87% ของจำนวนหุ้น GL ทั้งหมด จึงไม่มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสถานะการเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของ GL เนื่องจากภายหลังการขายทอดตลาดครั้งนี้ จะยังคงเหลือหุ้น GL ที่ถือครองอยู่อีกจำนวน 145,515,420 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 9.53% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบริษัท เอ.พี.เอฟ. โฮลดิ้งส์ จำกัด อยู่ระหว่างการพิจารณาหาแนวทางที่เหมาะสมในการนำไปสู่การคัดค้านหรือยุติการนำหุ้น GL ออกขายทอดตลาดในครั้งนี้

ประธานคณะกรรมการบริหาร GL กล่าวว่า การที่สำนักงานบังคับคดีแพ่งกรุงเทพมหานคร 2 มีประกาศขายทอดตลาดหุ้น GL ครั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าบริษัท เอ.พี.เอฟ. โฮลดิ้งส์ จำกัด ไม่มีความสามารถชำระเงินให้แก่โจทก์แต่อย่างใด ขณะเดียวกัน จะไม่มีหุ้นหรือสินทรัพย์อื่นๆ ของบริษัท เอ.พี.เอฟ.โฮลดิ้งส์ จำกัด ที่จะต้องถูกนำมาขายทอดตลาดเพิ่มเติมในภายหลัง

“เราขอให้ความมั่นใจแก่ผู้ถือหุ้นว่าการนำหุ้นออกขายทอดตลาดครั้งนี้ เป็นคดีความที่เกิดขึ้นระหว่างโจทก์และบริษัท เอ.พี.เอฟ. โฮลดิ้งส์ จำกัด ดังนั้น GL จึงไม่มีส่วนที่เกี่ยวข้องในความรับผิดชอบหรือชดใช้เงินให้แก่โจทก์ โดยคณะผู้บริหารของ GL ยังคงมุ่งมั่นในการบริหารงานและขยายธุรกิจดิจิทัลไฟแนนซ์ในภูมิภาคเอเชียตามแผนงานที่วางไว้เพื่อสร้างการเติบโตให้แก่ธุรกิจอย่างต่อเนื่อง” นายทัตซึยะ กล่าว

Categories
ข่าวแจ้งสื่อมวลชน

15 สิงหาคม 2560 : GL กำไร Q2 ทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 11

GL กำไร Q2 ทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 11

15 Aug 2017

บมจ.กรุ๊ปลีส ผู้นำธุรกิจดิจิทัลไฟแนนซ์ในภูมิภาคเอเชีย รายงานตัวเลขผลประกอบการไตรมาส 2/2560 ทำกำไรสุทธิ 337.69 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.70% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยนับเป็นกำไรสุทธิสูงสุดต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 11 ซึ่งกำไรสุทธิไตรมาสล่าสุดนี้ สะท้อนผลประกอบการที่ดีขึ้นในทุกตลาด ที่ GL ดำเนินธุรกิจอยู่ โดยเฉพาะฐานธุรกิจหลักในประเทศไทยและกัมพูชา ตลอดจนตลาดใหม่ในประเทศเมียนมาและอินโดนีเซีย

รายงานงบการเงินประจำไตรมาส Q2/2560 ที่แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ วันนี้ (15 ส.ค.) ระบุว่า รายได้ดอกเบี้ยจากธุรกิจเช่าซื้อมียอดทั้งสิ้น 525.89 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.61 ล้านบาท หรือ 6.83% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นนี้ ส่วนใหญ่มาจากผลประกอบการของบริษัทฯ ย่อยในกัมพูชาและ สปป.ลาว ซึ่งเพิ่มขึ้น 14.86 ล้านบาท และ 13.18 ล้านบาทตามลำดับ

สำหรับรายได้ดอกเบี้ยจากเงินกู้ที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ซึ่งผู้กู้ใช้มอเตอร์ไซต์เดิมของตนเองเป็นหลักทรัพย์ เพิ่มขึ้น 12.41 ล้านบาท หรือ 46% เป็นยอดเงิน 39.37 ล้านบาท โดยยอดรายได้ที่เพิ่มขึ้น 12.41 ล้านบาทนั้น ประกอบด้วย 12.02 ล้านบาท มาจากผลประกอบการบริษัทฯ ย่อยในประเทศไทย คือ บริษัท ธนบรรณ จำกัด ขณะที่สินค้าเชื่อประเภทนี้ ได้นำไปให้บริการเป็นสินเชื่อประเภทใหม่ในประเทศกัมพูชา ซึ่งสามารถเริ่มสร้างรายได้ 0.39 ล้านบาทในไตรมาสนี้

ส่วนธุรกิจไมโครไฟแนนซ์ ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ในประเทศเมียนมา ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง โดยสร้างรายได้ดอกเบี้ยในไตรมาสนี้เป็นครั้งแรกเป็นเงิน 6.22 ล้านบาท ซึ่งสินเชื่อประเภทนี้ ประกอบด้วยเงินกู้ขนาดเล็กระยะเวลาชำระคืน 50 สัปดาห์ โดยปล่อยสินเชื่อให้กับกลุ่มแม่บ้าน กลุ่มละ 5 คน ซึ่งต้องดูแลรับผิดชอบซึ่งกันและกันในการชำระคืนเป็นรายสัปดาห์ โดยตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีหนี้เสียเกิดขึ้น ถือว่าเป็นหนี้ NPL 0%

จุดเด่นอีกส่วนหนึ่งจากผลประกอบการในไตรมาส 2/2560 มาจาก รายได้ดอกเบี้ยจากสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค (Consumer Finance) มูลค่า 12.18 ล้านบาท จากผลประกอบการบริษัทฯ ร่วมทุนระหว่าง GL กับพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ JTrust Asia (JTA) ในอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นบริษัทไฟแนนซ์ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปีที่แล้ว และให้บริการสินเชื่อหลายรูปแบบภายใต้ชื่อบริษัทร่วมทุน PT Group Lease Finance Indonesia (GLFI) ซึ่งเป็นบริษัทที่มีรายได้จากค่าธรรมเนียมในการให้บริการต่างๆ เช่น การตลาด การคัดเลือกลูกค้าและการเก็บเงินค่างวดโดยเน้นสินเชื่อสำหรับเครื่องมือทางด้านการเกษตรและจักรยานยนต์ โดยตัวเงินกู้สำหรับสินเชื่อนั้น มาจากธนาคาร PT Bank JTrust Indonesia (ธนาคารท้องถิ่นในเครือบริษัท J Trust Co. โดยตัวบริษัท J Trust Co. จดทะเบียนในตลาดหุ้นโตเกียว)

สำหรับประเทศอินโดนีเซียนั้น เป็นตลาดใหญ่มีประชากรมากกว่า 250 ล้านคน และมีศักยภาพในการขยายธุรกิจได้อย่างมาก โดยประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ J Trust Co. นาย Nobuyoshi Fujisawa ได้กล่าวเมื่อเร็วๆ นี้ว่า ธุรกิจร่วมทุนระหว่าง GL และ J Trust ในอินโดนีเซีย จะขยายเป็นพอร์ตโฟลิโอที่ใหญ่ที่สุดและสร้างผลกำไรมากที่สุดสำหรับ GL ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า

รายได้ที่สำคัญอีกส่วนหนึ่ง เป็นรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้กู้สำหรับ SME ในประเทศสิงคโปร์และไซปรัส รวมเป็นเงิน 125.99 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 8.88% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุน 29.99% ในบริษัท Commercial Credit&finance (CCF) ในประเทศศรีลังกา ในไตรมาสนี้มียอดเงิน 36.73 ล้านบาท หรือลดลง 24% จากส่วนแบ่งกำไรในไตรมาสก่อนหน้านี้ เนื่องจากประเทศศรีลังกา มีวันหยุดประจำชาติยาวนานถึง 2 สัปดาห์ในเดือนเมษายน โดยบริษัท CCF ถือเป็นธรรมเนียมปฎิบัติไม่เก็บดอกเบี้ยจากลูกค้าทั้งหมดในช่วงวันหยุดยาวดังกล่าว ดังนั้น กำไรในไตรมาสนี้ ถือว่าอยู่ในระดับต่ำตามฤดูกาล

นายทัตซึยะ โคโนชิตะ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) หรือ GL ผู้นำธุรกิจดิจิทัลไฟแนนซ์ในภูมิภาคเอเชีย กล่าวชี้แจงว่า กำไรสุทธิสุทธิที่ปรับเพิ่มขึ้น เป็นยอดสูงสุดในไตรมาส 2/2560 นั้น เป็นผลจากผลประกอบการที่ปรับตัวดีขึ้นในทุกๆ ตลาดที่ GL ดำเนินธุรกิจอยู่ แม้ว่าค่าใช้จ่ายด้านการบริหารจะปรับเพิ่มสูงขึ้นจากการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องก็ตาม โดยค่าใช้จ่ายด้านการบริหารจัดการทั้งสิ้นในไตรมาสนี้อยู่ที่ 271.89 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 25.12% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายด้านบริหารจัดการยังขยายตัวในอัตราที่ต่ำกว่าการเพิ่มขึ้นของรายได้ สะท้อนถึงการบริหารที่มีประสิทธิภาพสูง

ธุรกิจในกัมพูชาและประเทศไทย ยังคงเป็นธุรกิจหลักของกลุ่ม GL โดยมีส่วนแบ่ง 49.3% และ 45.3% ตามลำดับ ในยอดพอร์ตโฟลิโอทั้งสิ้น 10,246 ล้านบาท ขณะที่ส่วนแบ่งของ สปป.ลาว เมียนมาและอินโดนีเซีย ยังอยู่ในระดับต่ำที่ 3.7%, 1.1% และ 0.7% ตามลำดับ

Categories
ข่าวแจ้งสื่อมวลชน

10 สิงหาคม 2560 : บริษัท GL Finance Indonesia และบริษัท TATA Motors Distribusi Indonesia บรรลุข้อตกลงในการทำสัญญาเพื่อให้บริษัท GL เป็น Recommended First Choice สำหรับบริษัท TATA

บริษัท GL Finance Indonesia และบริษัท TATA Motors Distribusi Indonesia บรรลุข้อตกลงในการทำสัญญาเพื่อให้บริษัท GL เป็น Recommended First Choice สำหรับบริษัท TATA

10 Aug 2017

บริษัท TATA Motors Distribusi Indonesia (TMDI) และบริษัท GL Finance Indonesia (GLFI) มีความยินดีที่จะประกาศให้ทราบว่าทางบริษัทได้ลงนามข้อตกลงเพื่อให้บริษัท GLFI เป็นบริษัทการเงิน Recommended First Choice ให้แก่ตัวแทนจำหน่ายของ TMDI ในประเทศอินโดนีเซีย ตัวแทนจำหน่าย TMDI จะอำนวยความสะดวกในด้านสถานที่ของโชว์รูมให้แก่บริษัท และ ทั้งบริษัท TMDI ตัวแทนจำหน่าย TMDI และบริษัท GLFI วางแผนงานในการทำงานร่วมกันเพื่อสร้างการรับรู้ แบรนด์สินค้าให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น

ในเดือนธันวาคม 2554 บริษัท TATA Motors ได้เริ่มจัดตั้งบริษัท TATA Motors Indonesia ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ทางบริษัทลงทุนเองทั้งหมดและเริ่มดำเนินธุรกิจในเดือนกันยายน 2556 นับจากเริ่มดำเนินธุรกิจบริษัท TATA Motors Indonesia เติบโตอย่างรวดเร็วและกลายเป็นแบรนด์รถยนต์ที่สำคัญในประเทศอินโดนีเซีย บริษัท GL Finance Indonesia (GLFI) คือบริษัทย่อยของบริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทสินเชื่อเช่าซื้อชั้นนำและได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยบริษัท GLFI ได้เริ่มกิจกรรมเชิงพาณิชย์ในประเทศอินโดนีเซียในปี 2559

 

Categories
ข่าวแจ้งสื่อมวลชน

08 สิงหาคม 2560 : บริษัท BGMM ได้รับการอนุมัติเพื่อการขยายธุรกิจใน 4 ภาคและ 2 รัฐของประเทศพม่า

บริษัท BGMM ได้รับการอนุมัติเพื่อการขยายธุรกิจใน 4 ภาคและ 2 รัฐของประเทศพม่า

08 Aug 2017

บริษัท BGMM และตลาดสินเชื่อรายย่อยในประเทศพม่าเติบโตอย่างต่อเนื่อง บริษัท BGMM มีเพียง 3 สาขาเมื่อบริษัท GL ได้เข้าซื้อกิจการในเดือนกุมภาพันธ์ 2560 เครือข่ายสาขาที่อยู่ในหลายพื้นที่จะเสริมให้บริษัท BGMM สามารถปล่อยเงินกู้และเรียกเก็บหนี้เฉพาะพื้นที่ได้มากขึ้นซึ่งเป็นจุดสำคัญของธุรกิจให้บริการสินเชื่อรายย่อย เพื่อการเติบโตอย่างต่อเนื่องของบริษัท BGMM ทางบริษัทยินดีที่จะประกาศว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้บริษัท BGMM ได้รับการอนุมัติให้ดำเนินกิจการใน 4 ภาคคืออิรวดี มัณฑะเลย์ มาเกว และตะนาวศรี (นานินตายี) และอีก 2 รัฐคือรัฐชานและรัฐกะยา ทางบริษัทมุ่งหวังที่จะเริ่มดำเนินธุรกิจในพื้นที่เหล่านี้และคาดหวังว่าบริษัท BGMM จะเติบโตอย่างต่อเนื่องตามการขยายตัวของตลาดธุรกิจสินเชื่อรายย่อยของประเทศพม่า รวมทั้งสามารถขยายฐานธุรกิจให้ครอบคลุมทั่วประเทศพม่าได้

Categories
ข่าวแจ้งสื่อมวลชน

05 กรกฎาคม 2560 : การต่ออายุสัญญาแต่เพียงผู้เดียวกับบริษัท Honda NCX เพื่อส่งเสริมยอดขายของ บริษัท Honda ในประเทศกัมพูชา

การต่ออายุสัญญาแต่เพียงผู้เดียวกับบริษัท Honda NCX เพื่อส่งเสริมยอดขายของ บริษัท Honda ในประเทศกัมพูชา

05 Jul 2017

บริษัท GL FINANCE Plc. (GLF), บริษัทสินเชื่อเช่าซื้อแห่งแรกและแห่งใหญ่ที่สุดในประเทศกัมพูชา ทั้งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, ได้ต่ออายุสัญญาแต่เพียงผู้เดียวกับบริษัท Honda N.C.X. จำกัด (Honda NCX) ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำผู้ประกอบและจำหน่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้าในประเทศกัมพูชา สิ่งนี้ได้แสดงถึงการก้าวสู่อีกขั้นของการเป็นคู่ค้าแต่เพียงผู้เดียวที่แน่นแฟ้นขึ้นและคาดการณ์การเพิ่มขึ้นของยอดขายรถจักรยานยนต์ใหม่ของฮอนด้าโดยผ่านบริการสินเชื่อเช่าซื้อของ GLF นอกเหนือจากยอดขายเป็นเงินสดที่โดดเด่นของรถจักรยานยนต์ฮอนด้า สัญญาแต่เพียงผู้เดียวฉบับใหม่นี้เป็นเช่นเดียวกับสัญญาแต่เพียงผู้เดียวฉบับแรกที่ได้ลงนามอย่างเป็นทางการระหว่าง GLF และ Honda NCX ในปี 2012

บริษัท GLF จำกัด, Digital Finance Company, ก่อตั้งขึ้น ณ ประเทศกัมพูชาในปี 2012 ได้กลายเป็นบริษัท Financial Lease แห่งแรกที่ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อภายในประเทศและเป็นบริษัทย่อยแห่งแรกในต่างประเทศของกลุ่มบริษัท GL อีกด้วย ต่อมา GLF ได้ขยายบริการสู่ตัวแทนจำหน่ายของ Honda ทั่วประเทศกัมพูชาและได้ครองตลาดของเขตชนบทอยู่ในขณะนี้ ภายใต้สัญญาแต่เพียงผู้เดียวกับ Honda NCX นี้ GLF คือบริษัทสินเชื่อแต่เพียงผู้เดียวที่สามารถให้บริการสินเชื่อรถจักรยานยนต์ฮอนด้าแก่ลูกค้าของ Honda NCX ณ จุดตัวแทนจำหน่ายของ Honda ทั่วประเทศ GLF จะทำงานอย่างต่อเนื่องและใกล้ชิดกับ Honda NCX ตั้งแต่การวางเป้าหมายเชิงกลยุทธ์รวมถึงทำการตลาดร่วมกันเพื่อเสริมสร้างการเติบโตซึ่งกันและกัน

การมอบบริการถึงทุกแห่งหนของประเทศผ่านตัวแทนของ GL กว่า 5,000 แห่ง โดยใช้ GL Digital Finance Application ที่ล้ำหน้า GLF ตั้งเป้าที่จะผลักดันส่วนแบ่งการตลาดและขยายยอดรวมฐานลูกค้าโดยผ่านสัญญาแต่เพียงผู้เดียวฉบับใหม่นี้ รวมทั้งให้การเข้าถึงบริการสินเชื่อเช่าซื้อที่ดีขึ้นแก่ชาวกัมพูชาไม่ว่าจะประกอบอาชีพการงานใด GLF ได้คาดการณ์อย่างมั่นใจในการเติบโตของยอดขายรถจักรยานยนต์ฮอนด้าและเปอร์เซ็นการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อเช่าซื้อ บริษัท Honda เห็นการเติบโตแบบทวีคูณซึ่งยังไม่มีสัญญาณว่าจะลดลงทำให้การเติบโตในส่วนแบ่งการตลาดของบริษัท Honda เป็นไปในทางเดียวกับกับตลาดอื่น ๆ ในภูมิภาคอาเซียน ระดับการเข้าแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดของรถจักรยานยนต์อยู่ในระดับต่ำขณะที่ตัวเลขการเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์เพิ่มสูงขึ้น บริษัท Honda จึงวางตำแหน่งให้ GLF ในการครอบครองตลาด

Honda NCX ซึ่งมีส่วนแบ่งการตลาดในอุตสาหกรรมมากกว่า 95 เปอร์เซ็นต์ คือผู้นำตลาดของอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ในประเทศกัมพูชาและมีสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในการจำหน่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้าให้แก่ชาวกัมพูชา ยอดขายรถจักรยานยนต์ฮอนด้ากำลังขยายตัวโดยคาดการณ์ยอดขายรถจักรยานยนต์ใหม่อยู่ที่ 300,000 คันในปี 2017 ภายใน 5 ปียอดขายได้รับการคาดคะเนว่าจะมากกว่า 500,000 คันต่อปี ส่วนหนึ่งด้วยแรงสนับสนุนด้านการเงินอันแข็งแกร่งจาก GLF

ได้ลงนามในสัญญาอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2017 ระหว่าง GLF และ Honda NCX สัญญาแต่เพียงผู้เดียวฉบับใหม่นี้ได้รับการคาดหวังให้กระตุ้นและตอกย้ำความสัมพันธ์ที่มั่นคงระหว่าง Honda NCX ไม่เพียงแค่กับ GLF เท่านั้นแต่รวมถึง กลุ่มบริษัท GL ด้วย เพื่อผลประโยชน์ในการเติบโตทางธุรกิจร่วมกัน สัญญาฉบับนี้แสดงถึงความสัมพันธ์ที่มั่นคงระหว่าง GL และ Honda NCX ในประเทศกัมพูชา สปป.ลาว และประเทศพม่าด้วยเช่นกัน บนความคาดหวังของ GL ในการเติบโตอย่างยิ่งใหญ่นอกเหนือทวีปเอเชีย กลุ่มบริษัท GL เติบโตอย่างรวดเร็วภายระยะเวลาสองสามปีที่ผ่านมาและปัจจุบันได้ขยายตัวออกไปถึง 7 ประเทศในภูมิภาคเอเชียรวมทั้งได้ทำสัญญาแต่เพียงผู้เดียวกับ Honda NCX ในประเทศพม่าเช่นกัน

Categories
ข่าวแจ้งสื่อมวลชน

09 มิถุนายน 2560 : ชี้แจงข่าวหรือข้อมูล

ชี้แจงข่าวหรือข้อมูล

09 Jun 2017

อ้างถึงหนังสือจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (“สำนักงาน ก.ล.ต.”) เลขที่ กลต.พษ. 935/2560 ซึ่งให้ชี้แจงเกี่ยวกับกรณีถูกดำเนินการโดยหน่วยงานกำกับดูแลในต่างประเทศ ด้วยหนังสือฉบับนี้ ข้าพเจ้า นาย มิทซึจิ โคโนชิตะ ขอชี้แจงข้อเท็จจริงและข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับกรณีตามหนังสือที่อ้างถึงดังต่อไปนี้

1. ในวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 คณะกรรมการกำกับดูแลหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ในประเทศญี่ปุ่น (Japanese Securities and Exchange Surveillance Commission (“SESC”)) ได้มีหนังสือเพื่อเสนอแนะให้หน่วยงานกำกับการให้บริการทางการเงินของประเทศญี่ปุ่น (Japanese Financial Services Agency (“FSA”) ออกคำสั่งลงโทษทางปกครองด้านการเงินให้ข้าพเจ้าชำระเงิน สำหรับการกระทำด้วยวิธีการฉ้อฉลอันเกี่ยวข้องกับหลักทรัพย์ในประเทศญี่ปุ่นในปี 2553 (“หนังสือแนะนำ”) ในวันเดียวกันนี้ FSA ได้ตัดสินให้เริ่มกระบวนการตรวจสอบตามหนังสือแนะนำดังกล่าว ซึ่งกระบวนการตรวจสอบนี้มิใช่กระบวนการทางศาลในทางอาญาหรือในทางแพ่ง แต่เป็นกระบวนการทางปกครองและดำเนินการโดย FSA

2. ในวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2560 FSA ได้มีคำสั่งตัดสินลงโทษทางปกครองด้านการเงินให้ข้าพเจ้าชำระเงิน (“คำสั่ง FSA”) โดยกล่าวอ้างเหตุผลต่างๆ ดังนี้ ซึ่งคำสั่งดังกล่าวมิได้เป็นคำสั่งของศาล เป็นแต่เพียงคำสั่งของ FSA

(1) ข้าพเจ้ามีเจตนาที่จะทำให้ราคาหลักทรัพย์ของ Wedge Holdings Co., Ltd. (“Wedge”) เพิ่มสูงขึ้น

(2) ข้าพเจ้ามีคำสั่งให้ Wedge เปิดเผยข้อมูลซึ่งประกอบด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จที่ระบุว่า Wedge คาดว่าจะเข้าควบรวมกิจการของ A.P.F. Hospitality Co., Ltd. (“APF HOS”) ซึ่งเป็นบริษัท Holding Company ของ Zeavola Resort และผลกำไรจากการลงทุนของ Wedge ในส่วนที่เป็นรายได้ดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้น ซึ่งในความเป็นจริง Wedge ไม่สามารถคาดการณ์ตามที่เปิดเผยข้อมูลดังกล่าวได้ โดยหลักเนื่องจากมีการแบ่งชำระเงินสำหรับค่าหุ้นกู้ซึ่งออกโดย APF HOS ให้กับ Wedge (“หุ้นกู้”) เป็นจำนวนย่อยๆ ในหลายครั้ง ซึ่งทำให้ดูเหมือนว่ามีการชำระค่าหุ้นกู้เต็มจำนวน

(3) ข้าพเจ้าได้ดำเนินการวางแผนการแบ่งโอนชำระเงินที่กล่าวข้างต้น

(4) ราคาหลักทรัพย์ของ Wedge เพิ่มสูงขึ้นจากการกระทำต่างๆ ข้างต้น

3. ในวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 ข้าพเจ้าได้ยื่นฟ้องรัฐ ตามคำฟ้องเลขที่ Heisei 29 (Gyou wa) No. 218 ต่อ Tokyo District Court เพื่อขอให้ศาลยกเลิกคำสั่ง FSA ซึ่งคดีดังกล่าวเป็นคดีแพ่งและจะเริ่มกระบวนพิจารณาคดีตั้งแต่ศาลชั้นต้น (ทั้งนี้ ไม่เคยมีการยื่นฟ้องร้องคดีอาญา) โดยในคำฟ้องระบุว่าคำสั่ง FSA ไม่มีมูล เนื่องจากเหตุผลหลักดังต่อไปนี้

(1) Wedge ได้มีการชำระเงินค่าหุ้นกู้จริง

(2) ข้าพเจ้าไม่ได้ควบคุมการแบ่งโอนชำระเงินและไม่มีข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานที่แสดงว่าข้าพเจ้าได้เข้าควบคุมการแบ่งโอนชำระเงินในแต่ละครั้ง

(3) ข้าพเจ้าไม่มีเจตนาที่จะทำให้ราคาหุ้นของ Wedge เพิ่มขึ้น และจะเห็นได้ว่าหลังจากที่ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น ข้าพเจ้าไม่ได้ขายหุ้นแต่ยังตัดสินใจที่จะเข้าซื้อหุ้นของ Wedge เพิ่มโดยบริษัทที่ข้าพเจ้าเป็นกรรมการอยู่

(4) ข้าพเจ้าไม่เคยควบคุม Wedge หรือ APF HOS เพื่อให้เข้าทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องและไม่เคยดำเนินการให้ Wedge เปิดเผยข้อมูลใดๆ เนื่องจากทั้ง 2 บริษัทดำเนินการดังกล่าวด้วยตนเองโดยผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบอยู่แล้ว ทั้งนี้ ไม่มีข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานที่แสดงว่าข้าพเจ้าได้ควบคุม Wedge และ APF HOS หรือดำเนินการหรือสั่งผู้อื่นให้ดำเนินการเปิดเผยข้อมูลข้างต้น

(5) การเปิดเผยข้อมูลตามที่กล่าวอ้างในคำสั่ง FSA ไม่ได้มีผลกระทบต่อราคาหุ้นของ Wedge

4. การไต่สวนคดีตามที่ระบุไว้ในข้อ 3 ข้างต้นจะมีขึ้นเป็นครั้งแรกในวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 ณ Tokyo District Court

5. ในวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2560 ขณะที่มีการให้สัมภาษณ์นั้น ข้าพเจ้ามิได้ถูกสั่งให้ชำระค่าปรับ หรือได้มีคำสั่งทางปกครองทางการเงินออกมาให้ข้าพเจ้าชำระเงินแต่อย่างใด ทั้งนี้ คำสั่งทางปกครองทางการเงินซึ่งมิใช่ค่าปรับในทางอาญานี้ได้ออกมาเมื่อวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2560 ซึ่งเป็นเวลาหลังจากนั้น นอกจากนี้ ข้าพเจ้าไม่ได้ถูกฟ้องร้องดำเนินคดีโดยหน่วยงานของรัฐ แต่ข้าพเจ้าเป็นผู้ฟ้องร้องคดีในเดือนพฤษภาคม 2560 ดังนั้น ข้าพเจ้าขอเรียนว่าข้าพเจ้ามิได้มีเจตนาให้ข้อมูลอันเป็นเท็จ หรือข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งอาจจะทำให้นักลงทุนหรือตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยสำคัญผิดแต่อย่างใด

6. คำสั่ง FSA มิได้มีผลกระทบต่อบริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) (“GL”) และธุรกิจของ GL เนื่องจากคำสั่ง FSA เป็นคำสั่งที่มีต่อข้าพเจ้า มิใช่คำสั่งที่มีต่อ GL บริษัทในกลุ่มของ GL หรือ Wedge (ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นของ GL) แต่อย่างใด ดังนั้น GL บริษัทในกลุ่มของ GL และ Wedge จึงมิใช่ผู้ที่ต้องชำระเงินตามคำสั่งทางการปกครองทางการเงินดังกล่าว ซึ่งทำให้ไม่มีผลกระทบต่อสถานะทางการเงินของ GL บริษัทในกลุ่มของ GL และ Wedge นอกจากนี้ ธุรกรรมดังกล่าวที่กล่าวอ้างในคำสั่ง FSA มิได้เป็นธุรกรรมที่ GL บริษัทในกลุ่มของ GL และ Wedge เป็นผู้เกี่ยวข้องหรือดำเนินการแต่อย่างใด

ขอแสดงความนับถือ
(นายมิซึจิ โคโนชิตะ)

Categories
ข่าวแจ้งสื่อมวลชน

30 พฤษภาคม 2560 : บริจาคอุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศแก่สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

บริจาคอุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศแก่สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

30 May 2017

บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) และบริษัท ธนบรรณ จำกัด (บริษัทย่อย) ร่วมกันบริจาคอุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศแก่สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล เพื่อช่วยพัฒนาศักยภาพคนพิการ เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2560 ที่ผ่านมา

Categories
ข่าวแจ้งสื่อมวลชน

15 พฤษภาคม 2560 : GL งบ Q1 ผ่านฉลุย กำไรทำนิวไฮต่อเนื่องไตรมาสที่ 10 รับปันผลพิเศษจาก GLH 346 ลบ. คาดผลประกอบการดีต่อเนื่อง Q2

ข่าวแจ้งสื่อมวลชน

15 May 2017

บมจ.กรุ๊ปลีส ผู้นำธุรกิจดิจิทัลไฟแนนซ์ในภูมิภาคเอเชีย รายงานผลประกอบการไตรมาส 1/2560 โชว์กำไร 327.36 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 47.35% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า สะท้อนถึงผลประกอบการที่ปรับตัวดีขึ้นชัดเจนในประเทศไทยและตลาดอื่นๆ ในภูมิภาคที่บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจอยู่ ซึ่งงบการเงินได้ผ่านความเห็นชอบจากผู้สอบบัญชีบริษัท สำนักงาน อีวาย จำกัด (EY) โดยไม่ต้องตั้งสำรองเผื่อหนี้สูญสำหรับกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ในสิงคโปร์และไซปรัส และไม่จำเป็นต้องตั้งสำรองสำหรับการด้อยค่าของเงินลงทุนในศรีลังกา

กำไรสุทธิในไตรมาส 1 นับเป็นสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 10 หรือเพิ่มขึ้นจากกำไรสุทธิ 324.40 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 4 ของปีที่ผ่านมา โดยในรายงานที่แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยวันนี้ (15 พฤษภาคม 2560) ระบุว่า คณะกรรมการของบริษัทย่อยคือ GL Holdings (GLH) ในประเทศสิงคโปร์ มีมติเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคมที่ผ่านมาให้จ่ายเงินปันผล 9.99 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 346 ล้านบาท ให้กับผู้ถือหุ้นคือบริษัทแม่ GL ภายในวันที่ 17 พฤษภาคมนี้ ซึ่งคาดว่าเงินปันผลพิเศษดังกล่าวจะส่งผลให้ผลประกอบการในไตรมาส 2/60 พุ่งขึ้นต่อเนื่อง

นายทัตซึยะ โคโนชิตะ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) หรือ GL ผู้นำธุรกิจดิจิทัลไฟแนนซ์ในภูมิภาคเอเชีย กล่าวชี้แจงว่า บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในไตรมาส 1/60 เนื่องจากต้องลงทุนเพื่อเตรียมขยายธุรกิจในตลาดหลักแห่งใหม่ 2 แห่งคือประเทศอินโดนีเซียและเมียนมา โดยทั้ง 2 ตลาดนี้มีศักยภาพการเติบโตอย่างมากในอนาคตระยะยาว ทั้งนี้ ผลกำไรในไตรมาส 1 จะสูงกว่าตัวเลขที่รายงานหากไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายในการลงทุนดังกล่าว

นายทัตซึยะกล่าวชี้แจงเพิ่มเติมว่า งบไตรมาส 1 ได้ผ่านการสอบทานจากผู้สอบบัญชีอย่างไม่มีเงื่อนไข (Clean Audit) โดยเฉพาะในประเด็นที่ไม่มีความจำเป็นต้องตั้งสำรองเผื่อการด้อยค่าของเงินลงทุนในบริษัท Commercial Credit and Finance PLC (CCF) สอดคล้องกับสิ่งที่ฝ่ายบริหารได้ชี้แจงกับผู้ถือหุ้นในการประชุมสามัญประจำปีเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งประเด็นดังกล่าวสืบเนื่องจากที่ GL ได้เข้าถือหุ้น 29.99% ใน CCF ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา โดยราคาหุ้นของ CCF ในตลาดหลักทรัพย์โคลัมโบได้ปรับลดลง ซึ่งทำให้เกิดความกังวลในผู้ถือหุ้นบางกลุ่มว่าบริษัทฯ อาจต้องตั้งสำรองเผื่อการด้อยค่า โดยล่าสุด นายทัตซึยะกล่าวยืนยันว่าไม่มีความจำเป็นต้องตั้งสำรองเพื่อการดังกล่าวในขณะนี้ เนื่องจาก CCF มีผลประกอบการที่ดีและ GL ถือว่าเงินลงทุนใน CCF เป็นการลงทุนระยะยาว

GL ได้บันทึกส่วนแบ่งกำไรจาก CCF มูลค่าประมาณ 55.5 ล้านบาทในงบไตรมาส 1 โดยตัวเลขดังกล่าวนับเป็นประมาณ 20% ของกำไรทั้งหมดในไตรมาสแรกปีนี้ โดยกำไรส่วนที่เหลืออีกประมาณ 80% ส่วนใหญ่มาจากผลประกอบการในประเทศไทยและกัมพูชา ในขณะที่ผลกำไรจากธุรกิจในอีก 3 ประเทศคือ สปป.ลาว อินโดนีเซียและเมียนมายังเป็นส่วนน้อย เนื่องจากเพิ่งเริ่มดำเนินธุรกิจมาไม่นาน

นายทัตซึยะกล่าวว่า สำหรับธุรกิจในประเทศไทยนั้นเริ่มปรับตัวดีขึ้นในปีนี้ หลังจากที่ชะลอตัวมาประมาณ 3 ปีตามยุทธศาสตร์การดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ โดยสินเชื่อเช่าซื้อรถมอเตอร์ไซค์ปรับตัวสูงขึ้นจากเฉลี่ยประมาณ 4,100 คันต่อเดือนในไตรมาส 1 ของปีที่แล้ว เพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 4,500 คันต่อเดือนในไตรมาส 1 ปีนี้ หลังจากที่ GL ได้เพิ่มจำนวนดีลเลอร์มอเตอร์ไซค์ ซึ่งทำให้ตัวเลขยอดขายเพิ่มขึ้นแม้กระทั่งในเดือนเมษายนที่มีวันหยุดยาวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยบริษัทฯ ได้เริ่มขยายธุรกิจใหม่ให้สินเชื่อเช่าซื้อสำหรับรถมอเตอร์ไซค์มือ 2 ในปีนี้ หลังจากที่ได้ทดสอบตลาดจนเป็นที่น่าพอใจในรอบปีที่ผ่านมา ส่วนผลประกอบการในกัมพูชานั้นชะลอตัวลงบ้างในรอบปีที่แล้ว อันสืบเนื่องจากเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากภาวะฝนแล้ง แต่ยอดสินเชื่อสำหรับสินค้าหลักคือ เครื่องจักรการเกษตร KUBOTA มอเตอร์ไซค์ HONDA และแผงโซลาร์เซลล์เริ่มปรับตัวดีขึ้นในปีนี้ตามภาวะฝนฟ้าที่ดีกว่าเดิม โดยบริษัทฯ ได้ขยายธุรกิจใหม่ปล่อยสินเชื่อให้แก่ลูกค้าที่เป็นเจ้าของรถมอเตอร์ไซค์อยู่แล้ว โดยใช้รถมอเตอร์ไซค์ของลูกค้าเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน นอกเหนือจากเดิมที่ปล่อยสินเชื่อสำหรับรถใหม่

นายทัตซึยะมองแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจในอินโดนีเซียและเมียนมาว่า จะมีนัยสำคัญต่อผลประกอบการของบริษัทฯ ในอนาคตระยะยาว โดยประเทศอินโดนีเซียเป็นตลาดใหญ่ที่สุดในอาเซียนมีประชากรกว่า 250 ล้านคน ทำให้บริษัทฯ มีโอกาสนำเสนอสินเชื่อทางการเงินรูปแบบต่างๆ ในขณะที่ตลาดเมียนมานั้นบริษัทฯ เพิ่งเซ็นสัญญาเป็นผู้แทนรายเดียวสำหรับการปล่อยสินเชื่อรถมอเตอร์ไซค์ HONDA เป็นเวลา 5 ปี ซึ่งนับเป็นข้อตกลงที่สำคัญในเชิงธุรกิจ เนื่องจากรถมอเตอร์ไซค์ HONDA ในปัจจุบันมีส่วนแบ่งตลาดเพียง 10% หรือประมาณ 100,000 คันต่อปีจากยอดจำหน่ายรถมอเตอร์ไซค์ทั้งหมดในเมียนมาประมาณ 1 ล้านคันต่อปี และเนื่องจาก HONDA เพิ่งเข้าไปทำตลาดในเมียนมาเมื่อเร็วๆ นี้ โดยตลาดส่วนใหญ่จะเป็นรถมอเตอร์ไซค์คุณภาพต่ำจากจีน “นั่นหมายความว่า HONDA มีศักยภาพสูงในการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 50% ในอีกหลายปีข้างหน้า และ GL เป็นเพียงบริษัทไฟแนนซ์แห่งเดียวที่สามารถปล่อยสินเชื่อรองรับการขยายตลาดในส่วนนี้” นายทัตซึยะกล่าว